Alive: ตลอดมาของ Alex Face
นับได้กว่าทศวรรษที่ศิลปะแนว Street Art ได้บุกรุกเข้ามาในอาณาเขตงานศิลป์ของไทยเรา หนึ่งในนั้นเชื่อว่าหลายๆคนคงจะได้เคยเห็นคาแรคเตอร์เด็กน้อยในชุดตุ๊กตากระต่ายสีขาวขนปุยกันไม่มากก็น้อย ไม่ว่าจะตามข้างถนน ผนังตึก หรือตามที่แปลกๆอย่างแท็งก์เก็บน้ำบนดาดฟ้าของบ้านใครซักคน หรืออาจจะเป็นข้างๆศาลพระภูมิ เด็กน้อยที่มักจะเล่นล้อและล้อเล่นไปกับบริบทรอบข้างอย่างน่าขบขันจนถึงขั้นตลกร้าย และในวันนี้เองที่บ้านและสวนเราได้มีโอกาสในการทำความรู้จักเบื้องลึกและเบื้องหลังของแนวคิดและการทำงานตลอดมากว่า 10 ปีของศิลปินท่านนี้ นั่นก็คือ คุณพัชรพล แตงรื่น หรือ Alex Face นั่นเอง
Alex Face เป็นใคร ทำงานศิลปะแนวไหน และ Exhibition นี้จะพูดถึงอะไรบ้างครับ
จริงๆแล้วหลายๆคนอาจจะคุ้นเคยกับว่า Alex Face ต้องพ่น ต้องทำงาน Street Art คือจริงๆเลยพื้นเพของเราเองก็คือเราเรียนศิลปะ เพราะฉะนั้นจริงๆเราก็สนใจหมดนะ นอกจากการพ่นสีตามกำแพง เราก็มี Painting มีภาพพิมพ์ มีทำงานปั้นหุ่นนิ่งอะไรแบบนี้ จริงๆแล้วคือชอบหมด มันขึ้นอยู่กับว่าเทคนิคไหนมันเอื้อกับแนวความคิด ก็เป็นทั้งการทดลอง ทั้งการทำงาน ลึกๆแล้วมันก็สนุกทุกอย่างนั่นแหละ ไม่ว่าจะนั่งปั้น ทำภาพพิมพ์ วาดรูป หรือจะออกไปพ่นตามถนน ซึ่งตรงนี้เองที่เราอยากจะให้คนอื่นได้เห็น เราก็เลยทำโชว์นี้ Exhibition ในครั้งนี้จะพูดถึงทักษะต่างๆที่เราสั่งสมมาตลอดการทำงานตั้งแต่สมัยเด็กๆจนถึงปัจจุบันเลยทีเดียว เรียกได้ว่าจัดเต็มๆ เพราะถ้าคิดว่าจะได้เห็นแค่งานพ่น จริงๆแล้วมันมีอะไรมากกว่านั้น เราเชื่อว่าทุกๆการทำงานมันเอื้อกันหมด การทำงานแต่ละอย่างมันก็จะแตกต่างกันในเรื่องของเทคนิคและวิธีคิด อย่างการทำงานในสตูดิโอ เพนต์งานอยู่บ้าน ก็จะมีสมาธิเพราะเราอยู่ในที่ของเรา แต่เวลาเราออกไปทำงานตามพื้นที่สาธารณะมันก็จะมีตัวแปรอื่นเข้ามา ว่ากันไปตามแต่ละพื้นที่ๆเราไปเจอ ก็ต้องแก้อุปสรรคกันไป มันเป็นปัญหา เป็นสิ่งที่ไม่คาดฝัน บางครั้งก็ดี บางครั้งก็…ไม่ดี แต่มันสนุก มันได้เจอคน ได้อะไรอะไร ได้เดินทาง คือเราทำงานนี่ไม่ได้แบบเพนต์ทำอย่างพ่นทำอย่าง เราทำงานทุกๆแบบอยู่บนบรรทัดฐานเดียวกันคือมันจะต่างไปตามบริบท และการนำเสนอมากกว่า
คือในตอนแรกมันก็เป็นเรื่องของวิถี เรื่องแฟชั่น ถ้าย้อนกลับไปเมื่อปี 2002 สมัยนั้นเราก็ยังเรียนอยู่ที่คณะสถาปัตยกรรม ภาควิชาวิจิตรศิลป์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เป็นช่วงที่ยังหาตัวตน หาความสนใจใหม่ๆ และช่วงนั้นเองที่กระแสของวัฒนธรรม Hiphop กำลังเริ่มเข้ามา ไม่ว่าจะดนตรี สเก็ตบอร์ด และกราฟฟิตี้ ก็เลยเริ่มออกไปพ่น ทั้งงานไฟน์อาร์ตกับงานกราฟฟิตี้ก็ทำควบคู่กันมาเรื่อยๆ แต่ ณ ตอนนั้นการออกไปพ่นนี่มันเป็นเรื่องที่ดูไร้สาระในสายตาเพื่อนๆและอาจารย์ ใครๆก็คิดว่ามันเป็นการออกไปทำอะไรก็ไม่รู้ พ่นทำไม เสียเวลา เอาเวลาไปทำงานศิลปะดีกว่า แต่คือเราเชื่อไง…เราเชื่อว่านี่ก็เป็นศิลปะรูปแบบหนึ่ง แต่ก็นั่นแหละ บ่อยครั้งที่เรียนแล้วมันเบื่อๆ ก็ออกไปแก้เซ็ง ออกไปฉีด(ลากเสียงยาว)แล้วมันเหมือนได้ปลดปล่อย มันสนุก ได้เจอเพื่อน ได้ทำอะไรสารพัด ทำให้เราติดฟีลแบบนั้นไป
นั่นคือจุดเริ่มก้าวแรกของ Alex Face
ก็พอออกไปพ่นแล้วมันก็เจอคนคอเดียวกัน ได้ออกไปพ่นไกลขึ้นเรื่อยๆ ตะลอนไปที่นั่นที่นี่ มีเพื่อนต่างประเทศมาพ่นที่บ้านเรา เราก็อยากไปพ่นที่บ้านเขาบ้าง จากใกล้ๆไทย ก็เริ่มไปเอเชีย ไปยุโรปบ้าง ตามแรงกระเพื่อมที่เกิดขึ้น แต่พอตอนหลังนี่เราก็เริ่มค้นพบว่าการพ่นเนี้ยมันเริ่มแบบ เหมือนเป็นเครื่องมืออะไรซักอย่างได้ อย่างสมัยเรียนเวลาทำงานศิลปะก็จะต้องมีการจัดแสดงงาน แล้วพอจัดแสดงจริงๆคนก็มาน้อย แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นวิถีที่คนทำงานศิลปะในยุคนั้นควรจะต้องทำ ก็กลายเป็นความลำบากของศิลปินหน้าใหม่ มันค่อนข้างแบบ…แล้วเราจะทำยังไงวะ กลายเป็นว่าการได้ไปพ่นตามข้างถนนเนี้ยก็เป็นพื้นที่ให้ได้แสดงออกเหมือนกันแล้วคนก็เห็นเยอะด้วย เราก็คิดว่าในยุคนั้นที่มันยังไม่ได้มีโซเชี่ยลเนตเวิร์คอย่างทุกวันนี้ สิ่งนั้นก็เป็นพื้นที่เปิดนะ ไม่เหมือนในแกลลอรี่นะ ก็ในเมื่อศิลปะมันเข้าถึงผู้คนยากนัก เราก็พาศิลปะออกไปพบผู้คนแทนเสียเลย จากเริ่มแรกที่เพียงแค่พ่นขีดๆเขียนๆ ก็เริ่มใส่แนวคิดใส่สิ่งแทนข้อความบางอย่างลงไป อย่างบางที่ที่ทำงานไปแล้วเจ้าของไม่ชอบใจ เราก็เริ่มขอพื้นที่เป็นกิจจะลักษณะ ทำให้ทำงานได้เป็นเรื่องเป็นราวมากขึ้น สมบูรณ์มากขึ้น ซึ่งก็ต่างจากการแอบทำไปอีกแบบหนึ่ง
แปลว่า Alex Face เปลี่ยนไป? จาก Street Art สู่ ศิลปินที่แสดงงานใน Gallery?
ไม่ได้รู้สึกว่าเปลี่ยนอะไรนะ คือมันเหมือนเริ่มมีอุดมการณ์เข้ามามากกว่า เราเห็นประโยชน์ของสิ่งที่เราทำมากขึ้น คือคนเข้าใจมากขึ้น ว่าเราทำอะไร เวลามันผ่านมาเป็น 10 ปี เพราะฉะนั้นทั้งฝีมือและความคิดจากที่เคยพ่นมั่วๆ ก็ขัดเกลา ฝึกฝนมาโดยตลอด มันมีการพัฒนา ยิ่งตอนนี้ที่คนทั่วไปเข้าใจมากขึ้น เราว่าตอนนี้มันมีการเปิดรับสิ่งเหล่านี้ ผู้คนรู้สึกดีกับมัน เป็นกระแสไปทั้งโลกเลย เพราะคนใน generation เดียวกับเรามันโตขึ้นมาแล้ว อย่างเช่นที่ปีนัง ที่เมืองมันฟื้นขึ้นมาได้ใหม่ด้วยศิลปะ เพราะพอมี Street Art ดีๆ คนก็ชอบ เมืองก็คึกคักก็เกิดเป็น Dynamic ที่พาให้เมืองมันขับเคลื่อนได้อีกครั้ง เป็นโอกาสในการได้ฟื้นตัว เราเห็นว่าสิ่งเหล่านี้มันเป็นส่วนหนึ่งที่งานศิลปะของเรามันสร้างประโยชน์ได้ ไม่ได้จำเป็นว่าต้อง Street Art หรือเป็น Gallery แต่อะไรที่มันคืนสิ่งดีๆกลับไปสู่สังคมได้ เราก็คิดว่ามันควรจะต้องทำ
ถ้าให้ต่อจุดจากตอนนั้นมาจนถึงตอนนี้ มันก็คือความชอบของเรา และวัฒนธรรมที่เรานำมาประยุกต์เข้าด้วยกัน พอเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นต่อเนื่องจากสิ่งที่เราทำมันก็ทำให้อยากทำต่อ ต้องทำต่อ เพราะมันเป็นเครื่องมือที่เราใช้พูดได้ เป็นสิ่งที่เราสื่อสาร เป็นสิ่งที่มีคนติดตาม เรายังมองหาความสนุกกับมันได้เสมอตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้
แสดงว่าตัวละครเด็กในชุดกระต่ายก็คือสิ่งที่ Alex Face ใช้ในการสื่อสารข้อความถึงผู้ชม
ใช่ คือคนทั่วไปจะชอบเรียกมันว่า มาร์ดี ตามชื่อลูกของเราแต่จริงๆแล้วมันไม่มีชื่อนะ คือมันจะเป็นอะไรก็ได้ ส่วนหนึ่งก็เพราะเราได้แรงบันดาลใจมาจากลูกตัวเองนั่นแหละ แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะเด็กคนนี้คือภาพแทนของความคิดหรือข้อความที่เราต้องการสื่อสารออกไป มันอาจจะมีอิมเมจของลูกเรา หรือสิ่งที่เราไปประสบมา อาจจะเป็นเรื่องที่อยากให้คนตั้งคำถาม หรือแค่อยากจะพูดอะไรออกไป มันเป็นอะไรก็ได้ อยู่ที่ผู้ชมจะตีความ เหมือนกับว่าเราทิ้งพื้นที่ไว้ให้คนได้คิดต่อ เพราะแต่ละคนมีประสบการณ์ไม่เหมือนกัน ซึ่งถ้าเค้าตีความออกมาแล้วมันไม่ตรงกับเรา มันก็ไม่ผิด! เพราะศิลปะมันเป็นพื้นที่สำหรับให้คนได้มาแชร์กันอยู่แล้ว เป็นพื้นที่สำหรับการแลกเปลี่ยนในเชิงความคิดมาตั้งแต่แรก
สุดท้ายนี้คิดว่าในอนาคตอันใกล้ Alex Face อยากทำอะไรต่อ?
เราก็คงใช้ชีวิตแบบนี้แหละ หาอะไรสนุกๆทำ แล้วก็เลี้ยงชีพได้ด้วย แต่สิ่งที่อยากทำจริงๆก็คือโปรเจคต์แบบที่จะได้ทำกับเพื่อนๆคอเดียวกัน เช่นโปรเจคต์ที่ได้ไปช่วยชุมชนดีๆให้เค้าได้ฟื้นขึ้นมา คือการทำอะไรแบบนั้นมันได้ลงพื้นที่ การลงพื้นที่มันได้มันได้มิตรภาพไง ได้เจอพี่ป้าน้าอา ได้เจอเพื่อน ได้เที่ยว ได้ไปใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่หนึ่งๆเป็นประสบการณ์ แค่นี้มันก็คุ้มแล้ว เอาให้มันสนุก ก็คงทำควบคู่กับงานศิลปะไป
เพราะจริงๆเราก็คิดว่าเราก็ทำได้แค่นี้แหละ คือการทำงานศิลปะ และถ้ามันจะมีประโยชน์กับใครบ้างมันก็คงจะดี แต่ศิลปะสำหรับเรามันเป็นเรื่องสำคัญ มันสามารถทำให้คนเย็นลง เบาลง ซอฟต์ลง ทำให้คนอยู่ในสุนทรียะภาพมากขึ้น ถ้าทำได้แบบนั้นมันคงไม่มีเรื่องไม่มีสงครามเกิดขึ้น เพราะทุกคนอยู่ในภาวะสุนทรียภาพกันหมด เราก็เลยคิดว่าเออมันสำคัญ เป็นเรื่องของจิตใจไม่ใช่วัตถุ อย่างคาแรคเตอร์ของเราที่มันมีสามตาเพราะว่าสองตาปกตินี่คือมองเรื่องวัตถุ แต่ตาที่สามที่มองไปทางอื่นมันมองเรื่องจิตใจ เรื่องเชิงจิตวิญญาณมากกว่า สิ่งเหล่านี้มันควรได้รับการพัฒนามากกว่าวัตถุ โดยเฉพาะเด็กๆที่ควรได้เรียนศิลปะให้ใจสบาย แต่ทุกวันนี้เราได้เรียนแค่วิธีวาดรูป มันยังไม่ใช่ศิลปะ มันฉาบฉวย มันเป็นมากกว่านั้นคืออะไรที่อยู่ในอากาศเป็นไลฟ์สไตล์ เป็นรสนิยม เป็นความชอบ เป็นอารมณ์ จริงๆมันคือทุกอย่างเลยนะ ก็คงจะพยายามให้ศิลปะได้อยู่ในชีวิตประจำวันของผู้คนมากขึ้นผ่านงานของตัวเอง
เพราะฉะนั้นถ้าอยากรู้จัก Alex Face ให้มากขึ้นก็ควรมาชมงานนี้
จะว่าแบบนั้นก็ได้ คือจะได้เห็นสิ่งที่เราทุ่มเทลงไป ทักษะที่เราได้ฝึกฝนมา งานในรูปแบบอื่นๆจากที่เคยเห็นกัน เราพยายามทำอย่างเต็มที่ที่สุดเท่าที่ ณ เวลานี้เราจะมีกำลังและความสามารถที่จะได้เลยทีเดียว
และนี่ก็คือบทสนทนากับ Alex Face ไม่ว่าน้องกระต่ายจะชื่อมาร์ดีหรือไม่ก็ตาม แต่แววตาที่ครุ่นคิดกับโลกใบนี้ของเธอก็คงทำให้ตระกอนความของใครต่อใครได้ฟุ้งกลับขึ้นมาบ้างอย่างแน่นอน ไม่มากก็น้อย หากใครอยากชมผลงานของเขาช่วงปลายปีนี้ก็ถือเป็นโอกาสอันดีเพราะ Alex Face มีการแสดงผลงานอยู่ที่ บางกอก ซิตี้ซิตี้ แกลเลอรี่ ในชื่อว่า ALIVE โดย เปิดให้เข้าชมตั้งแต่วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2559 จนถึงวันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2560 โดยเปิดทุกวันพุธ-วันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 13.00-19.00 น. สอบถามติดต่อ 083-087-2725 หรือ [email protected]
เรื่อง วุฒิกร สุทธิอาภา
ภาพ ณัฐวุฒิ เพ็งคำภู, วุฒิกร สุทธิอาภา