วงศ์กล้วยไม้ (Orchidaceae)
วงศ์กล้วยไม้ (Orchidaceae) คือพืชใบเลี้ยงเดี่ยวในวงศ์ Orchidacaceae ซึ่งมีจำนวนมากกว่า 20,000 ชนิด จาก 700 วงศ์ บางตำรากล่าวว่าชื่อ “กล้วยไม้” เรียกตามลักษณะของลำต้นที่ดูคล้ายกับหวีกล้วยซึ่งเกาะอยู่บนต้นไม้ ส่วนชื่อสามัญว่า “Orchid” นั้น มีรากศัพท์มาจากภาษากรีกว่า orkhis แปลว่า ถุงอัณฑะ ซึ่งดูคล้ายกับหัวกล้วยไม้ดินชนิดที่ถูกเรียกเป็นต้นแบบนั้นเอง
ลักษณะเด่น
ราก อวบน้ำ มีเนื้อเยื่อพิเศษสีขาวที่เรียกว่า วีลาเมน (velamen) สามารถดูดน้ำและอาหารได้ดี ทั้งยังช่วยป้องกันการระเหยของน้ำ และจุลินทรีย์เข้าไปยังเนื้อเยื่อ ปลายรากมีสีเขียวที่ช่วยสังเคราะห์แสงได้และมักเจริญไปหาความชื้นเสมอ
การเจริญเติบโต มีทั้งกล้วยไม้ลำเดี่ยว(Monopodial orchid) หรือกล้วยไม้เจริญเติบโตทางยอด เช่น สกุลช้าง (Rhynchostylis) แวนด้า รีแนนทีรา (Renanthera) เป็นต้น และกล้วยไม้เจริญเติบโตทางด้านข้าง (Sympodial orchid) หรือกล้วยไม้แตกกอ ที่มีการแตกลำลูกกล้วยใหม่จากเหง้า หรือโคนลำลูกกล้วย จนเป็นกอแน่น เช่น สกุลสิงโตกลอกตา คัทลียา หวาย รองเท้านารี ออนซิเดียม (Oncidium) เป็นต้น
สำหรับการเจริญเติบโตในธรรมชาติ มี 3 ลักษณะ คือ
- กล้วยไม้รากอากาศ หรือกล้วยไม้อิงอาศัย (Epiphytic Orchid) มักพบคาคบไม้ใหญ่ มีรากยึดเกาะเพื่อพยุงต้น คอยดูดน้ำและธาตุอาหาร เช่น สกุลคัทลียา หวาย ออนซีเดียม สิงโตกลอกตา เป็นต้น
- กล้วยไม้ดิน (Terrestrial Orchid) เจริญเติบโตตามพื้นดินที่มีซากใบไม้ผุทับถม มีเหง้าทอดเลื้อย หรือลำต้นใต้ดินเป็นหัว ส่วนใหญ่พักตัวในฤดูหนาว เช่น สกุลบัวสันโดษ นางอั้ว ลิ้นมังกร เอื้องดินใบหมาก หรือสปาโตกลอทิส (Spathoglottis) เป็นต้น
- กล้วยไม้บนหิน (Lithophytic Orchid) มักพบเติบโตตามพื้นหิน ซอกหินที่มีใบไม้แห้งทับถมบ้าง กล้วยไม้กลุ่มนี้ทนต่อความแห้งแล้งและแสงแดดได้ดี เช่น รองเท้านารีบางชนิด ม้าวิ่ง และเอื้องกระเจี้ยง
ลำต้น แบ่งเป็น 4 กลุ่มใหญ่ๆ คือ
- กลุ่มที่มีลำต้นสะสมอาหาร ลักษณะพองออกคล้ายผลกล้วย หรือทรงกระบอกยาว เห็นข้อปล้องชัดเจน เรียกว่า “ลำลูกกล้วย” เช่น สกุลสิงโตกลอกตา (Bulbophyllum) คัทลียา (Cattleya) หวาย (Dendrobium) สปาโตกลอสทิส (Spathoglottis)
- กลุ่มที่มีลำต้นเป็นหัวอยู่ใต้ดิน คล้ายหัวมัน ทำหน้าที่สะสมน้ำและอาหาร ส่วนเหนือดินคือกาบใบซ้อนกัน และแผ่เป็นแผ่นใบ เช่น สกุลลิ้นมังกร (Habenaria) สกุลบัวสันโดษ (Nervilia)
- กลุ่มไม่มีลำต้นสะสมอาหาร มีแผ่นใบเหนือดิน เช่น รองเท้านารี (Paphiopedilum)
- กลุ่มที่มีลำต้นทอดเลื้อย เช่น สกุลว่านน้ำทอง (Ludisia) หรือวานิลลา (Vanilla)
ดอก เป็นช่อแบบช่อกระจะ หรือช่อแยกแขนง ช่อละ 1-30 ดอก ทยอยบานจากโคนไปยังปลายช่อ อาจมีกลิ่นหอม หรือกลิ่นเหม็น มี 6 กลีบ แบ่งเป็นกลีบเลี้ยง 3 กลีบด้านนอก อยู่ด้านบน 1 กลีบ เรียกว่า หลังคา และด้านล่าง 2 กลีบ บางสกุลเช่น สกุลรองเท้านารี กลีบเลี้ยงสองกลีบด้านล่างจะเชื่อมติดกันเป็น 1 กลีบ ส่วนกลีบดอก 3 กลีบ ประกอบด้วย กลีบดอกด้านข้าง 2 กลีบ อีก 1 กลีบ เปลี่ยนรูปเป็นกลีบปาก ขนาดและสีสันแปลกจากกลีบอื่น ดูสะดุดตา กึ่งกลางดอก เป็นเส้าเกสร (staminal column) มีทั้งเกสรเพศผู้ เกสรเพศเมีย และฝาครอบปิดกลุ่มเรณูไว้ ภายในเป็นยอดเกสรเพศเมียที่เว้าเป็นช่อง และมีน้ำเหนียว ถัดมาคือกลุ่มเรณู(pollinia) ของเกสรเพศผู้ที่อัดเป็นก้อนกลม 2 อัน สีเหลือง
ผล เป็นฝัก อาจกลมป้อมหรือยาวเรียว ขนาดเล็ก หรือใหญ่แตกต่างกันไป เมื่อแก่จะแห้งและแตกออกตามแนวสัน ภายในมีเมล็ดเป็นฝุ่นผงจำนวนมาก
การปลูกเลี้ยง
กล้วยไม้เป็นพืชที่มีความหลากหลายของถิ่นที่พบในธรรมชาติ และลักษณะการเจริญเติบโต ซึ่งผู้ปลูกเลี้ยงควรเรียนรู้กล้วยไม้ที่ปลูกแต่ละชนิด อาจปลูกเกาะกับต้นไม้ใหญ่ เช่นสกุลหวาย (Dendrobium) สกุลซิมบิเดียม (Cymbidium) สกุลช้าง (Rhynchostylis) เอื้องกุหลาบ (Aerides) เป็นต้น หลายสกุลสามารถ ปลูกเกาะกับวัสดุ อาจเป็นขอนไม้ หรือตะแกรงพลาสติก นิยมใช้กับกล้วยไม้อิงอาศัยที่ชอบอากาศถ่ายเทสะดวก รากระบายน้ำและอากาศได้ดี หรือชนิดที่ต้องการให้รากแห้งในบางช่วง ไม่แฉะจนเกินไป สิ่งสำคัญคือ บริเวณที่ต้องการปลูกเลี้ยง ควรมีความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศสูง กล้วยไม้จะเติบโตได้ดีดูเป็นธรรมชาติ ที่นิยมกันมากคือ ปลูกเป็นไม้กระถาง ทั้งกล้วยไม้อิงอาศัยและกล้วยไม้ดิน ข้อดีคือควบคุมความชื้นได้ง่าย ดูแลสะดวก สิ่งสำคัญคือ ควรเลือกวัสดุปลูกที่เหมาะกับกล้วยไม้ชนิดนั้น เช่น สแฟกนั่มมอส หินภูเขาไฟ และกาบมะพร้าวสับ
ติดตามหนังสือใหม่ได้ทาง : สำนักพิมพ์บ้านและสวน