5 เทคนิคการเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศให้ถูกและประหยัด
อากาศร้อน บ้านร้อน ค่าไฟเพิ่มเกินขีดจำกัด ปัญหาที่รุมเร้าอย่างหนักเมื่อประเทศเราเข้าสู่หน้าร้อน ยิ่งบ้านไหนที่ไม่ได้ติดฉนวนกันความร้อนหรือหาวิธีคลายความร้อนให้กับบ้าน เชื่อเถอะว่าค่าไฟเดือนนี้ของคุณต้องทำเอาเป็นลมล้มพับแน่ๆ แต่จะใช้ไฟอย่างไรให้ประหยัด แถมยังได้รับความเย็นสบายจากเครื่องปรับอากาศตัวโปรด จริงๆ แล้วทั้งหมดนี้มันเริ่มต้นตั้งแต่วิธีการซื้อที่ถูกต้องครับ
1. เลือกประเภทของเครื่องปรับอากาศให้เหมาะกับการใช้งาน
เริ่มจากเลือกประเภทเครื่องปรับอากาศให้ถูกต้อง ใครว่าเครื่องปรับอากาศนั้นมีแค่เฉพาะแบบตั้งพื้นและแขวนผนัง จริงๆ เครื่องปรับอากาศมีถึง 4 ประเภทด้วยกัน ได้แก่
• เครื่องปรับอากาศแบบติดผนัง ขนาดกระทัดรัดมีหลากหลาย BTU ให้เลือก อีกทั้งยังช่วยประหยัดพลังงาน รวมไปถึงการดูแลรักษาที่ง่าย เหมาะกับห้องที่มีขนาดเล็ก และมักใช้กับบ้านไซส์ที่มีผู้อยู่อาศัยประมาณ 3-4 คนหรือคอนโด
• เครื่องปรับอากาศฝังในฝ้า ชื่อก็บอกอยู่แล้ว ฝังลงในฝ้าเพดานทั้งหมด จะไม่เห็นตัวเครื่องให้เกะกะสายตา รวมถึงเพิ่มความสวยงามให้กับห้อง แต่ว่าค่อนข้างมีราคาสูงมากกว่าประเภทอื่นๆ
• เครื่องปรับอากาศแขวนใต้ฝ้า จะถูกติดตั้งใต้ฝาเพดาน สามารถกระจายความเย็นได้อย่างทั่วถึง เหมาะสำหรับห้องที่มีขนาดเล็กไปจนถึงขนาดกลาง และมีผู้คนอยู่เยอะ
• เครื่องปรับอากาศตู้ตั้งพื้น ติดตั้งบนพื้น เหมาะสำหรับห้องที่มีขนาดใหญ่และผู้คนหนาแน่นสามารถกระจายความเย็นได้มาก แต่แอร์ประเภทนี้ จะเปลืองพลังงานกว่าแอร์ประเภทอื่นๆ
2. ขนาดแอร์ต้องเหมาะสมกับแต่ละห้อง (ดูที่ BTU)
สิ่งสำคัญต่อมาเมื่อจะไปซื้อเครื่องปรับอากาศ เมื่อรู้ประเภทการใช้งานแล้ว การรู้ขนาดความกว้างของห้องกี่ตารางเมตรเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก เพราะมีผลต่อการเลือกเครื่องประอากาศ หากเรื่อง BTU มากเกินกว่าขนาดห้องการใช้งาน ก็จะยิ่งทำให้เครื่องปรับอากาศทำงานหนักขึ้น เพื่อให้กระจายความเย็นได้ทั่วถึง
ตารางเปรียบเทียบการเลือกขนาด BTU
3. มีฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 การันตี
เราได้ยินเสมอเครื่องไฟฟ้าประหยัดไฟต้องฉลากเบอร์ 5 เพราะนั้นหมายถึง คุณภาพในการใช้พลังงานที่คุ้มค่าที่สุด ซึ่งจะช่วยประหยัดพลังงานและประหยัดค่าใช้จ่ายได้ โดยฉลากนี้ต้องเป็นฉลากของสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเท่านั้นจึงจะเชื่อถือได้ โดยคุณภาพจะกำหนดเป็นตัวเลขได้ดังนี้
เลข 5 – ดีมาก ประสิทธิภาพการประหยัดไฟสูงสุด
เลข 4 – ดี ประสิทธิภาพการประหยัดไฟสูง
เลข 3 – ปานกลาง ประสิทธิภาพการประหยัดไฟปานกลาง
เลข 2 – พอใช้ ประสิทธิภาพการประหยัดไฟพอใช้
เลข 1 – ต่ำ ประสิทธิภาพการประหยัดไฟระดับต่ำ ไม่ควรใช้
4. ดูที่ค่า EER/SEER
ค่าเหล่านี้คืออะไร เป็นค่ามาตรฐานสากล แสดงถึงประสิทธิภาพในการใช้พลังงานของแอร์แต่ละเครื่อง แอร์ตัวไหนที่มีค่า EER/SEER สูงๆ แปลว่าแอร์เครื่องนั้นยิ่งประหยัดไฟ โดยค่า EER และ SEER มีความแตกต่างกัน ดังนี้
- EER (Energy Efficiency Ratio) เป็นค่าที่ใช้วัดประสิทธิภาพในการใช้พลังงานของแอร์ ซึ่งแอร์บ้านที่ไม่ใช่ระบบอินเวอร์เตอร์ (Non Inverter) จะแสดงค่าเป็น EER
- SEER (Seasonal Energy Efficiency Ratio) เป็นค่าที่ใช้วัดประสิทธิภาพในการใช้พลังงานตามฤดูกาลของแอร์ ทำให้ค่า SEER จึงมีความใกล้เคียงกับสภาพการใช้พลังงานจริงๆ มากกว่า EER ซึ่งแอร์บ้านที่เป็นระบบอินเวอร์เตอร์ (Inverter) จะแสดงค่าเป็น SEER การที่แอร์บ้านแต่ละยี่ห้อมีฉลากเบอร์ 5 เหมือนกัน อย่าพึ่งชะล่าใจ เพราะไม่ได้แปลว่าจะประหยัดไฟเท่ากัน ค่า EER/SEER ต่างหากที่สามารถชี้วัดประสิทธิภาพการใช้พลังงานได้อย่างชัดเจน
5. มีมาตรฐานการ Service ที่ดี
หลังจากรู้หลักการเลือกเครื่องปรับอากาศ จุดสังเกต และประเภทที่ควรมองหาก็ถึงเวลาซื้อจริงสักที คราวนี้เราจะเลือกเครื่องปรับอากาศยี่ห้อไหน หรือซื้อที่ไหน สามารถดูได้จากมาตรฐานการบริการของที่นั้นๆ เพราะเมื่อซื้อไปแล้ว มันก็มีระยะเวลาและอายุการใช้งาน หากน้ำยาแอร์หมด หรือต้องถอดล่าง คุณสามารถเรียกช่างจากสถานที่ซื้อมาให้บริการได้หรือไม่ หากคำตอบที่ได้คือใช่ ก็อย่ารอช้ารีบซื้อเครื่องปรับอากาศดี มีคุณภาพมาติดตั้งที่บ้านกันเถอะ
การเตรียมความพร้อมที่ดีตั้งแต่ก่อนเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศ ได้ทั้งความประหยัด คุ้มค่า มีประสิทธิภาพ และมีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้นด้วยครับ หากใครที่กำลังมองหาไอเดียในการเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศ ลองแวะมาหาของที่ถูกใจได้ที่โฮมโปร และโฮมโปร เอส ทุกสาขา หรือช้อปปิ้งออนไลน์ได้ที่ www.HomePro.co.th เรื่องบ้านมาได้ทุกวันที่โฮมโปร