จากไม้ขีดไฟกลายเป็นเฟอร์นิเจอร์ ดูเขาทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ที่ IKEA of Sweden
การได้มาเยือนสำนักงานใหญ่และร้านสาขาแรกของแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ดังที่เมืองอัลม์ฮูลต์ (Almhult) เมืองเล็กๆทางตอนใต้ของประเทศสวีเดน ทำให้เราได้เห็นว่าก่อนที่ IKEA จะใหญ่โตไปทั่วโลกและมาเปิดสาขาที่ 330 ที่บางนา และกำลังจะเปิดอีกสาขาที่บางใหญ่ในช่วงเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้
บริษัทยักษ์ใหญ่เริ่มต้นจากกิจการเล็กๆ ของเด็กสิบขวบที่เดินขายไม้ขีดไฟตามบ้านในช่วงปี 1940 ซึ่งเป็นยุคที่คนสวีเดนต้องปากกัดตีนถีบ
หลังทำกำไรจากการซื้อไม้ขีดไฟมาแยกใส่กล่องขาย เด็กชายหัวการค้านามว่า อิงค์วา คัมปราด (Ingva Kamprad) ขยายกิจการต่อด้วยการนำเข้าปากกา นาฬิกา ไฟแช็ก เข็มขัด และกระเป๋าสตางค์ มาขายทางไปรษณีย์ และจดทะเบียนบริษัทชื่อว่า “IKEA” ชื่อนี้มาจากตัวอักษรนำหน้าของชื่อและนามสกุลตัวเอง ชื่อฟาร์ม (Elmtaryd) ตามด้วยชื่อหมู่บ้าน (Agunnaryd) ที่เขาอาศัยอยู่ จากนั้นก็ค่อยๆกลายมาเป็นร้านเฟอร์นิเจอร์ ของใช้ และของตกแต่งบ้าน แรกๆ ก็ซื้อมาขาย หลังๆออกแบบและผลิตขายเองเลย
จากเพิงเก็บของหน้าบ้านหลังเล็กๆซึ่งเขาใช้เป็นที่เก็บสินค้า ปัจจุบัน IKEA สั่งผลิตสินค้าจากโรงงานทั่วโลกและมีคลังสินค้าขนาดเท่าเมืองย่อมๆอยู่หลายแห่ง ร้านของอิเกียโด่งดังจากการจัดแสดงแบบห้องจริง มีแคตตาล็อกที่จัดทำอย่างสวยงาม มีการขายสินค้าที่คนซื้อต้องนำไปประกอบเองที่บ้าน และที่สำคัญคือขายในราคาที่ต่ำอย่างไม่น่าเชื่อ
คุณอิงค์วาจะเป็นเศรษฐีอันดับต้นๆของสวีเดน เมื่อตอนที่วัย 85 ปี เขายังคงขับรถเองและใช้บริการขนส่งมวลชนเป็นประจำ และยังคงพูดถึงการทำของดีในราคาที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ ซึ่งวันนี้เขาจะจากโลกนี้ไปอย่างสงบในวัย 91ปี
เราลองมาดูกระบวนการทำงานของแบรนด์นี้ที่ผู้คนรู้จักกันทั่วโลกไปพร้อมกันครับ
ดูคนออกแบบ
Product Developer คือ ฝ่ายที่คิดว่าควรจะทำอะไรมาขาย สไตล์ไหน ราคาเท่าไร อยู่ตรงไหนในตลาด ส่วน Product Designer คือ ฝ่ายที่รับโจทย์มาออกแบบ หาวัตถุดิบที่เหมาะสม และหาวิธีผลิต เพื่อให้ขายได้ในราคาที่กำหนด วิธีการทำงานจะเป็นในลักษณะที่ทั้งสองฝ่ายช่วยกันเลี้ยงลูกไปตลอดทาง ซึ่งจะต้องผ่านคณะกรรมการอีกหลายด่านกว่าจะได้ไปอยู่ใน แคตตาล็อกเล่มงามในอีกสองปีข้างหน้า
ดูคนทดสอบ
สิ่งสำคัญในการส่งสินค้าออกไปขายทั่วโลกคือ ต้องทำให้แน่ใจว่าถูกกฎหมายของทุกประเทศก่อน บริษัทลูกชื่อ IKEA Test Lab ทำหน้าที่ทดสอบผลิตภัณฑ์ทุกชิ้น และรายงานผลกลับไปให้ผ่ายพัฒนาและออกแบบ นอกจากนี้ยังต้องเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงของมาตรากฎหมายทั่วโลก โดยจะถือเอากฎหมายที่โหดที่สุดของแต่ละประเด็นมาเป็นเกณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นความทนทาน ความปลอดภัย อายุการใช้งาน การติดไฟ การปล่อยสารระเหย การใช้วัสดุต้องห้าม รวมไปถึงการทดสอบความเหนียว การตกสี การซับน้ำของผ้าชนิดต่างๆ ฯลฯ
ดูคนทำแคตตาล็อก
เมื่อผลิตของได้มาตรฐานที่ต้องการแล้ว ก็ถึงเวลาทำให้คนรู้ว่ามีอะไรขาย ราคาเท่าไร หน้าตาเป็นอย่างไรเมื่ออยู่ในบ้าน และที่สำคัญที่สุดคือทำให้ลูกค้าเดินทางมาซื้อที่ร้าน เครื่องมือสำคัญของการขายแบบนี้คือแคตตาล็อกสินค้าประจำปีสำหรับแจกฟรี ซึ่งกว่าจะได้เป็นเล่มต้องเตรียมการกันล่วงหน้าเป็นปี เพราะต้องออกแบบและก่อสร้างฉากทั้งหมดภายในโรงถ่ายทำขนาดใหญ่ ต้องวิเคราะห์ว่าแต่ละตลาดในโลกมีรสนิยมเฉพาะที่แตกต่างกันอย่างไร เพื่อจะได้ตกแต่ง จัดแสง และหานายแบบนางแบบให้เหมาะสม แคตตาล็อกแต่ละฉบับจะมียอดพิมพ์หลายล้านเล่มใน 32 ภาษา และมีหลายเวอร์ชั่นสำหรับตลาดต่างๆ
ดูคนขนส่งสินค้า
การสั่งผลิตทีละมากๆทำให้ต้นทุนต่ำ ราคาขายก็จะต่ำลงด้วย แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นคือค่าใช้จ่ายและความยุ่งยากในจัดการสินค้า การลงทุนที่ใหญ่ที่สุดของบริษัทจึงอยู่ที่การบริหารการจัดเก็บและขนส่งให้รวดเร็ว แม่นยำ และประหยัด ก่อนจะเปิดสาขาใหม่ จึงต้องปรับส่วนนี้ให้รองรับปริมาณการสั่งของให้ได้ก่อน คลังสินค้าที่เราได้ไปเยี่ยมเป็นเพียงหนึ่งใน 30 ของทั้งหมดในโลก ซึ่งเป็นจุดกระจายสินค้าให้ตลาดยุโรปเหนือเท่านั้น ขนาดใหญ่โตมโหฬารมากแต่ใช้แรงงานคนน้อยอย่างไม่น่าเชื่อ
“ระยะเวลาตั้งแต่การวิเคราะห์ตลาด วางคอนเซ็ปต์ ออกแบบ พัฒนา คำนวณต้นทุน ผลิต ทดสอบ แก้ไข ถ่ายรูปเพื่อลงแคตตาล็อก และวางแผนการขนส่ง ใช้เวลาประมาณ 2 ปี ก่อนที่เราจะเห็นสินค้าวางอยู่ในร้าน IKEA”
ตามไปรู้จัก Ingvar Kamprad ผู้ก่อตั้งอีเกีย
ส่องสินค้าน่าซื้อจากแคตตาล็อกอิเกีย2018